วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ชมพู่ Rose apple



ชมพู่ เป็นผลไม้ที่คนไทยเรียกเพี้ยนมาจากคำภาษามลายูว่า "จัมบู" หรือ "จามู"

อินเดียเรียกว่า gulab-jaman

ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า pomme-rose

ในสเปนเรียกว่า poma-rose

มีชื่อสามัญว่า Rose apple

เพราะมีกลิ่นหอมคล้ายกุหลาบชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium jambos (L.) Alston

ชมพู่มีถิ่นกำเนิดแถบมลายู มีหลากหลายสายพันธุ์ชื่อที่เรียกในแต่ละท้องถิ่นล้วนเพี้ยนมาจากคำว่า "จัมบู" ของมลายูทั้งสิ้น บางตำราระบุว่าแหล่งดั้งเดิมของชมพู่อยู่ในประเทศอินเดีย เพราะเป็นแหล่งรวมของพันธุ์ชมพู่หลากหลาย

ชมพู่เป็นไม้ต้นทรงพุ่มขนาดกลาง ใบรูปหอก เรียบหนาเป็นมัน ดอกสีขาวอมเหลืองออกเป็นช่อ มีกลิ่นหอมผลรูปทรงคล้ายระฆังคว่ำ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 4-6 ซม. ยาว 7-9 ซม. แต่ละพันธุ์มีขนาด ความยาว และสีสันแตกต่างกัน มีทั้งสีแดง สีเขียว หรือเขียวมีแดงแทรก เนื้อชมพู่ฉ่ำน้ำ รสชาติมีตั้งแต่จืดกระทั่งหวานจัด มีกลิ่นหอม บางพันธุ์มีเมล็ด บางพันธุ์มีเฉพาะไส้ จำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ได้ดังนี้

1. Syzygium jambos เป็นพันธุ์ที่ฝรั่งเรียกว่า rose apple ตัวอย่างเช่น ชมพู่น้ำดอกไม้ ชมพู่พันธุ์นี้แม้จะมีกลิ่นหอมแต่รสจืดซืด
2. Syzygium malaccensis บางที่เรียกพันธุ์มาเลย์ ผลทรงกลมรีเล็กน้อย กลิ่นหอม มีรสหวานอ่อน ๆ เช่น ชมพู่ สาแหรก ชมพู่มะเหมี่ยว เป็นต้น
3. Syzygium samaramgense มักเรียกว่า พันธุ์ขวา หรือพันธุ์อินโดนีเซีย
4. Syzygium aqueum มีชื่อสามัญว่า water apple แทนที่จะเป็น rose apple เพราะพันธุ์นี้มีน้ำมาก กรอบและรสหอมหวาน ชมพูไทยหลายชนิดอยู่ในกลุ่มนี้

ชมพู่พันธุ์พื้นเมืองได้แก่
1. ชมพู่มะเหมี่ยว ผลสีแดงเข้ม เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ มีเมล็ดขนาดใหญ่ รสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมคล้ายดอกกุหลาบ
2. ชมพู่สาแหรก ลักษณะภายนอกคล้ายชมพู่มะเหมี่ยวแต่ขนาดผลเล็กกว่า บริเวณปลายกลีบยื่นออกมาคล้ายกับปากนำ เนื้อออกสีขาวขุ่น รสหวานฉ่ำน้ำ
3. ชมพู่แก้วแหม่ม ผลสีสีขาวออกชพุ เนื้อนุ่ม มีไส้เป็นปุย รสจือ มีกลิ่นหอม
4. ชมพู่พลาสติก หรือชมพู่แก้ว ขนาดเล็ก รูรงแป้น ผิวสีแดงสด เนิ้อน้ยอ รสเปรี้ยว มักปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับตามบ้าน
5. ชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่ผลกลม ภายในผลกลวง ที่ก้นผลมีกลีบ มองดูคล้ายดอกไม้ ผลดิบสีเขียวเข้ม ผลสุกสีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอม อันเป็นที่มาของชื่อ น้ำดอกไม้

ชมพู่ที่ปลูกเพื่อการค้า ได้แก่
1. ชมพู่เพชรสุวรรณ ผิวสีเขียวอมแดง เนื้อหนากรอบ ฉ่ำน้ำ รสหวาน
2. ชมพู่เพชรสายรุ้ง เป็นพันธุ์ที่ปลูกในจังหวัดเพชรบุรีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2378 เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างชมพุ่กะหลาป่าของอินโดนีเซียกับชมพู่แดงของไทย เป็นชมพู่ที่มีรสหวานกรอบ และราคาแพงที่สุดในบรรดา
3. ชมพู่ด้วยกันรูปทรงคล้ายระฆังคว่ำ ตรงกลางผลป่องเล็กน้อย ผิวเปลือกสีเขียว เวลาแก่จัดจะเห็นเส้นริ้วสีแดงที่ผิวชัดเจน เนื้อแข็งกรอบ รสหวานมากกว่าชมพู่ทุกชนิด
4. ชมพู่ทับทิมจันทน์ ผลยาวรี ตรงกลางคอด บริเวณปลายผลป่อง ผิวสีแดง เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ รสหวาน กลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด
5. ชมพู่ทูลเกล้า เป็นชมพู่สีเขียวอ่อน รูปกรวยแคบ ผลยาวรีทรงสูงกว่าพันธุ์อื่น ๆ ขั้วผลแคบกลมมน ก้นผลกว้าง พองออกเล็กน้อย ผิวเรียบ สีเขียวอ่อน เนื้อในสีขาวออกเขียว เนื้อหนา กรอบ ฉ่ำน้ำ มีกลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด
6. ชมพู่เพชรน้ำผึ้ง ผลยาวรี รูปกรวยแคบ ขั้วผลแคบกลมมน ก้นผลกว้าง พองออกเล็กน้อย เปลือกหนา สีแดงเข้ม เนื้อสีขาว กรอบ รสหวานอมฝาดเล็กน้อย







นอกจากนี้ยังมีพันธุ์อื่น ๆ เช่น ชมพู่เพชรชมพุ ชมพู่เพชรสามพราน และชมพูนัมเบอร์วัน เป็นต้น
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมเป็นฤดูกาลของชมพุ่ที่ออกผลปีละครั้ง แต่เดี๋ยวนี้ชาวสวนสามารถทำชมพู่ทะวายออกมาขายในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมและธันวานคมได้ แหล่งปลูกสำคัยอยู่ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี และจังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น
คนไทยกินชมพู่เป็นผลไม้หากรสหวานดีก็กินสด ๆ แต่หากรสอมเปรี้ยวก็จิ้มพริกกับเกลือคนไทยสมัยก่อนใช้ชมพู่จจืดเป็นผักชนิดหนึ่ง
คุณค่าอาหารและสรรพคุณ

ชมพู่ เนื้อฉ่ำน้ำ กินแล้วสดชื่น แก้กระหายได้ดี มีวิตามินซีป้องกันโรคหวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เหล็ก เส้นใย วิตามินเอ วิตามินปี1 และวิตามินบี2


ที่มา :http://www.itmstrade.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538602499&Ntype=31

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น